ป.ป.ช.ภาค 6 แถลงผลงานด้านปราบปรามการทุจริต “ชี้มูล” นายก อบต.-จนท.-พนักงานธนาคารออมสิน-พ่วงท้ายนายก ร่ำรวยผิดปกติ

วันที่24 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.ณ ห้องประชุมสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิษณุโลก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก

นายสุพจน์ ศรีงามเมือง รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 6 ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 แถลงข่าว“ผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่” โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – 24 กันยายน 2568 มีผลการดำเนินงานด้านปราบปรามการทุจริตที่สำคัญ ดังนี้

เรื่องที่ 1 กรณีกล่าวหา นายฤทธิ์รงค์ เปรมศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาบ่อคำ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวก ร่วมกันเบียดบังเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ตำบลนาบ่อคำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 – 2554 เป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต โดยในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 – 2554 ได้มีการเบิกถอนเงินของกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ตำบลนาบ่อคำ ออกไปโดยที่ไม่มีการจัดทำโครงการของกองทุนฯ และไม่มีเอกสารฎีกาประกอบการเบิกจ่าย จำนวน 17 ครั้ง รวมเป็นเงิน 764,747 บาท โดยใบถอนเงินที่พบ บางฉบับเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 ทุกราย บางฉบับเป็นลายมือชื่อของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 เพียงรายเดียว และบางฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 ทุกราย โดยเงินที่เบิกถอนมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 เป็นผู้รับไว้เพียงผู้เดียว และไม่มีการนำไปใช้จัดทำโครงการของกองทุนฯ แต่อย่างใด

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
(1) การกระทำของ นายฤทธิ์รงค์ เปรมศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และนายนิคม สีไสย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92

(2) การกระทำของ นางสาวเนียรนิภา ทินปาน หรืออัดถะวิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบัน มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดกำแพงเพชร เรื่องหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2544 ข้อ 3 วรรคสอง ข้อ 6 วรรคสอง และข้อ 19 วรรคสอง

 

เรื่องที่ 2 กรณีกล่าวหา นางธัญธัต หรือสุกัญญา ปิยะกาโส หรือนางสาวธัญธัต ธรรมดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานธุรกิจสาขา 7 ธนาคารออมสิน สาขาสวรรค์วิถี ธนาคารออมสินเขตนครสวรรค์ ธนาคารออมสินภาค 6 อาศัยอำนาจหน้าที่ของตนจัดทำเอกสารการถอนเงินให้พนักงานเทลเลอร์ทำรายการถอนเงินฝากในบัญชีสมาชิกกองทุนหมู่บ้านแต่ละกองทุน แล้วให้พนักงานเทลเลอร์นำไปชำระหนี้ให้กับกองทุนหมู่บ้านอื่น และได้นำเงินของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบางส่วนไปฝากเข้าบัญชีของตน รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 2,805,500 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
การกระทำของ นางธัญธัต หรือสุกัญญา ปิยะกาโส หรือนางสาวธัญธัต ธรรมดา ผู้ถูกกล่าวหา มีความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 353 ว่าด้วยวินัยของพนักงานธนาคารออมสิน ข้อ 6 และข้อ 8

เรื่องที่ 3 กรณีกล่าวหา นายดำรง นพรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลหนองฉาง อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ร่ำรวยผิดปกติ โดยผู้ถูกกล่าวหามีรายการความเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันธนาคารกสิกรไทย สาขาหนองฉาง ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 – วันที่ 24 พฤษภาคม 2556 จำนวน 32 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22,429,980 บาท และจากการตรวจสอบรายได้ของผู้ถูกกล่าวหาในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งยื่นต่อกรมสรรพกร พบว่าปีภาษี 2554 มีรายได้ 385,000 บาท ปีภาษี 2555 มีรายได้ 403,161 บาท และปีภาษี 2556 มีรายได้ 427,200 บาท กรณีจึงปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหา มีรายได้ไม่สัมพันธ์กับรายการเงินฝากและไม่ปรากฏว่ารายการเงินฝากทั้ง 32 รายการดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหา ได้มาอย่างไร หรือมีที่มาอย่างไร

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
การกระทำของ นายดำรง นพรัตน์ ผู้ถูกกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่