ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 กอ.รมน. ลงพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สอด เดินหน้าตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต
ร่วมวางมาตรการปราบปราม อาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามนโยบาลเร่งด่วนของรัฐบาล
วันที่ 12 ธันวาคม พลโทชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 กอ.รมน. พร้อมด้วย พลตรีเฉลิม เนียมช่วย รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 กอ.รมน. และคณะลงพื้นที่เดินหน้าตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และร่วมวางมาตรการปราบปราม อาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ในพื้นที่ ชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยมีพันเอกชาตินักรบ พรศิริรัตน์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร่วมให้การต้อนรับ
โดยได้ลงพื้นที่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. ติดตาม การตัดสายสัญญาณ อินเตอร์เน็ต ที่มีการลักลอบพาดสายขนาดใหญ่ ผ่านสะพานมิตรภาพไทยเมียนมา แห่งที่ 1 ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตัดสายสัญญาณไปแล้วก่อนหน้านี้ และอยู่ระหว่างการดำเนินการตัด รื้อสายสัญญาณ ที่ยังคงค้างอยู่เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ทางคณะได้ลงพื้นที่ แนวชายแดน พบปะหารือผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และวางมาตรป้องกัน ไม่ให้มีการลักลอบนำสายสัญญาณจากฝั่งไทย ลักลอบส่งสัญญาณไปยัง ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ในการหลอกลวง ของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และที่สำคัญ คือการนำกลับมาก่อเหตุหลอกลวงพี่น้องชาวไทยจนได้รับความเสียหาย ซึ่งหากพบการกระทำผิด จะดำเนินการรื้อตัดสัญญาณและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า พื้นที่ชายแดน จังหวัดตาก ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงด้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ อำเภอแม่สอด พบพระ แม่ระมาด ที่มีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งฐานการกระทำผิดอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม
ปัจจุบัน พบกลุ่มขบวนการ หันมาใช้เครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าและมีการพัฒนา ใช้การรับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ผ่านทางดาวเทียมทดแทน ดังนั้นประชาชนจึงต้องตระหนัก เพิ่มความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งผลการปฏิบัติหน้าที่ ป้องปราบจับกุมแก็งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ได้ดำเนินการจับกุม การกระทำผิด รูปแบบต่างๆ รวมถึง 17 ครั้ง ได้ของกลาง คอมพิวเตอร์ ซิม โทรศัพท์มือถือ จำนวนมาก ทั้งยังต้องเฝ้าระวังปัญหาการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย ที่สามารถ จับกุมผู้กระทำผิด ได้แล้วถึง 792 ครั้ง ผู้กระทำผิด จำนวนถึง2,687 คน และผู้ให้การช่วยเหลือซ่อนเร้น จำนวน 191 คน