ตำรวจสืบสวนฯ ภาค 6 ไล่ล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนมุม 2 จังหวัด


ตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การอำนวยการของ พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 6
พลตำรวจตรี ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 6

กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ,ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 6 ร่วมกันสนธิกำลังจับกุม เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มูลค่าความเสียหาย 2,055,380.86 บาท (สองล้านห้ามื่นห้าพันสามร้อยแปดสิบบาทแปดสิบหกสตางค์) พื้นที่ สภ.เมืองพิจิตร

กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 โดย พล.ต.ต.เดชพล เปรมศิริ ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตนกลิน รอง ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.ฤทธินันท์ ปุ้ยพันธวงศ์ รรท รอง ผบก. สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ รอง ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.วรเชษฐ์ พลขันธ์ ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.6 พ.ต.อ. ศุภณัฐ ศตะกูรมะ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.จิรภัทร เพชรรัตน์ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ สุดหอม รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 พ.ต.ท. กิตติ เกิดขันหมาก รอง ผกก.ปพ. บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.ธนานพ นิ่มสุวรรณ์ รอง ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.6 ,

ชุดจับกุมประกอบด้วย พ.ต.อ.ศุภณัฐ ศตะกูรมะ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.จิรภัทร เพชรรัตน์ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 และ กก.ปพ.บก.สส.ภ.6 ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย
1.นายธาวิน ทวีอุดมวานิช อายุ 34 ปี ที่อยู่ 127 หมู่ที่ 3 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จว.เชียงราย ตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตรที่ 202/2568 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จับกุมที่ อำเภอเมืองเชียงรายจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่ถอนเงิน
2.นายไพบูลย์ หลักแก้ว อายุ 25 ปี ที่อยู่ 113 หมู่ที่ 2 ต.ผางาม อ.เวียงชัย จว.เชียงราย ตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตรที่ 201/2568 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จับกุมที่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทำหน้าที่ รับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายแล้วโอนเงินต่อยังบัญชีคนถอนเงิน

โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และร่วมกันฟอกเงิน”

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นางบุญนำ เทียบรัตน์ ผู้เสียหาย ได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวง ว่ามีการนำชื่อของผู้เสียหายไปใช้เปิดบัญชีใหม่ และแนะนำให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ทำการโอนสายไปยัง สภ.เมืองพิจิตร ปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร พร้อมทั้งได้ติดต่อกับผู้เสียหายทางไลน์ชื่อ สภ.เมืองพิจิตร และกำชับผู้เสียหายห้ามปรึกษาคนอื่นและให้โอนเงินที่มีในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ และแจ้งว่าเมื่อทำการตรวจสอบเสร็จสิ้นจะโอนเงินคืนให้ทั้งหมด ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนผ่านทางโทรศัพท์มือถือไปยังบัญชีของคนร้าย จำนวน 4 บัญชี มูลค่าความเสียหายรวมจำนวน 2,055,380.86 บาท โดยลักษณะการหลอกลวงของผู้ต้องหาเป็นลักษณะการหลอกลวงประชาชน เข้าข่ายความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน”

จากการสืบสวน พบว่าเป็นเครือข่ายร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขบวนการดังกล่าวจะมีการหาบัญชีม้า ซึ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 จะได้ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่ถอนออกมา(ได้จากการหลอกลวง)ประมาณ 20-25% และผู้ต้องหาที่ 2 จะได้ค่าจ้างครั้งละ 10,000 บาทต่อการโอนเงินต่อครั้ง