489

“พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์” สตรีไทยคนแรก นั่งรองประธานสหภาพรัฐสภาโลก  “เลือดเข้มข้น ลูกโกศล หลานจงกล พี่สาวจุติ”

ในการที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปี 2565) เมื่อวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมาศาสตราจารย์พิเศษ นายพรเพชร วิชิตชลชัย  ประธานวุฒิสภา ได้กล่าวในที่ประชุมมีข้อความตอนหนึ่งว่า

“วุฒิสภามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับทราบว่าท่านพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ในฐานะกรรมการบริหารสหภาพรัฐสภา ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริหารสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union) หรือ IPU (IPU Executive Committee) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสหภาพรัฐสภา (Vice-President of the IPU) ในสัดส่วนของกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์เอเชีย-แปซิฟิก แทนกรรมการบริหารฯ จากจีน ซึ่งหมดวาระลง โดยท่านพิกุลแก้ว ได้รับการเลือกตั้งด้วยมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการบริหาร IPU ซึ่งพิจารณากรรมการบริหารจาก 2 ประเทศ ในสัดส่วนกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกได้แก่ ไทย และปากีสถาน”

“ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุดที่สมาชิกรัฐสภาสตรีของไทยคนแรก ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงของสภาพรัฐสภาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 72 ปี ของรัฐสภาไทยใน IPU ซึ่งเป็นองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศระดับโลก ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 133 ปี และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 178 ประเทศจากทั่วโลก นำความภาคภูมิใจอย่างสูงมาสู่รัฐสภาไทย และยกระดับเกียรติภูมิของประเทศไทยให้สูงเด่นในเวทีโลก จึงขอเชิญที่ประชุมวุฒิสภาร่วมแสดงความยินดีกับท่านพิกุลแก้ว ในโอกาสดังกล่าวครับ”

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พศจิกายน 2565 สมาชิกวุฒิสภา ได้จัดแสดงความยินดี
กับนางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสหภาพรัฐสภา  ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร

“พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์” คงมิใช่นำมาเพียงชื่อเสียงหน้าตาของสมาชิกวุฒิสภาของไทย  และประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังนำความภาคภูมิความสง่างามมาสู่ชาวจังหวัดพิษณุโลกอีกด้วย ประการสำคัญประเทศไทย มีความโดดเด่นในเวทีการเมืองระดับโลก

การได้รับความไว้วางใจในเวทีการเมืองระดับโลกดังกล่าว “พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์” สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา บ่งบอกถึงความรู้ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศหลายภาษา ที่ผ่านมาได้ประสานสิบทิศบนเวทีการเมืองระดับโลก จนสำเร็จลุล่วง สร้างความเข้าใจอันดีกับมิตรประเทศมาตามลำดับ ด้วยบุคลิก “อ่อนนอก แข็งใน” มีวาทะศิลป์ และมีความสุขุม ลุ่มลึกยิ่ง

สะท้อนถึงความกล้าแกร่งของทายาทนักการเมืองลือนาม”นักเลงโบราณ” นายโกศล ไกรฤกษ์ อดีต ส.ส. พิษณุโลก หลายสมัย และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ตำแหน่งสุดท้ายคือรองนายกรัฐมนตรี อีกทั้งได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคกิจสังคม ที่มีหัวหน้าพรรคชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี

“ไกรฤกษ์” สร้างตำนานการเมืองรับใช้ชาวพิษณุโลก มา 3 ชั่วอายุคน คือ” ปู่-พ่อ-ลูก” ประการสำคัญที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นตระกูลแรกที่สามารถนั่งเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎร 3 ชั่วอายุคน “ร.ท.จงกล -โกศล-จุติ” ที่สร้างคุณูปการให้กับชาวพิษณุโลกและประเทศชาติ มาอย่างมากมายหลายประการ

นอกจากนั้น“พิกุลแก้ว”ยังได้รับความไว้วางใจจากการเลือกตั้งของประชาชนชาวพิษณุโลก ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิ (ส.ว.) 3 สมัย ปี 2549,2551,2557 และระหว่างปี 2551-2557 ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ปัจจุบันได้รับการสรรหาเป็น ส.ว.และนั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม“พิกุลแก้ว” ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา แสดงบทบาทมุ่งมั่นงานการเมืองและสร้างคุณประโยชน์ให้กับประชาชนชาวจังหวัดพิษณุโลกอย่างต่อเนื่อง และดำเนินกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก สืบทอดเจตนารมย์คุณปู่ และบิดาและน้องชาย ที่ต่อสู้เพื่อประชาชนสร้างตำนานการเมืองมาแล้ว จนเป็นที่ยอมอย่างกว้างขวาง

โดยเพาะอย่างยิ่ง“ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ ” ภายหลังผ่านพ้นคดีการเมืองในข้อหา”กบฎบวรเดช” นาน 11 ปี “บางขวาง-ตะรุเตา-เกาะเต่า”อดีต ส.ส. พิษณุโลก 3 สมัย คือ ปี 2491, 2495, 2500 และเคยได้รับเกียรติจากเพื่อน ส.ส.ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขณะนั้นรัฐธรรมนูญ ได้เขียนไว้ให้ ส.ส.นั่งเก้าอี้เพียงได้แค่รองประธานสภาฯ เพราะเป็นบุคคลที่มีบุคลิกตรงไปตรงมา อาจเรียกว่า”ขวานผ่าซาก” นับว่าเป็นนักการเมืองที่ต่อสู้แก้ปัญหาและคลุกคลีกับประชาชน จนได้รับฉายาว่า” จงกลความเก่า” เพราะรู้จัก รู้ใจ รู้หน้าที่ รู้งาน และเป็นผู้บุกเบิกเปิดเส้นทางสู่อำเภอนครไทยอีกด้วย

“ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์” จบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า “จปร.” ในปี 2465 จบแล้วรับราชการทหารในพื้นที่หลายจังหวัด  และปี 2469 สอบไล่ผ่านโรงเรียนเสนาธิการ ได้เป็นอันดับที่ 2 ต่อมาย้ายมารับตำแหน่งเสนาธิการมณฑลทหารบกจังหวัดพิษณุโลก (กองทัพที่ 3) นับว่าเป็นบุคคลที่ “ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ” “ไม่ทรยศนาย ไม่ขายเพื่อน” ยึดมั่นในอุดมการณ์เกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและพระราชวงศ์ จึงเข้าร่วมกับคณะ “กู้บ้านเมือง”

ในวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ ยกกำลังทหารไปจากจังหวัดพิษณุโลก ร่วมผู้ก่อการเข้ายึดพื้นที่ดอนเมือง แต่การเจรจากับ”คณะราษฎร”ไม่เป็นผลเกิดการปะทะกัน และคณะกู้บ้านเมือง เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงอันเป็นที่มาของ “กบฎบวรเดช”

“ร.ท.จงกล “ มีผลงานด้านวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงเคยเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม “ตัวตาย แต่ชื่อยัง” “ชีวิตนักการเมืองไทย” โดยใช้นามปากกา “เสาวรักษ์” และใช้นามปากกา ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ คือ “อยู่อย่างเสือ” “ศิลปเลือกตั้ง” ประการสำคัญเป็นผู้ประพันธ์บทเพลง “พิษณุโลกงาม” ครูเอื้อ สุนทรสนาน แต่งทำนอง และขับร้องโดย “เพ็ญศรี พุ่มชูศรี” ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวพิษณุโลก และบันทึกแผ่นเสียงไว้เมื่อปี 2493 ปัจจุบันเพลง “พิษณุโลกงาม”ยังได้รับความนิยมจากชาวพิษณุโลก ที่ได้นำมาขับร้องกันหลายเวอร์ชั่น

“โกศล ไกรฤกษ์” มีความละม้ายคล้ายคลึงบิดา “ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์”  พูดจาตรงไปตรงมา ถึงลูกถึงคน ยึดหลักความถูกต้อง รักความเป็นธรรม ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ราษฎร การเข้าช่วยเหลือราษฎรกรณี “นิคมสร้างตนเองทุ่งสาน” อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จนสงบราบคาบ อาจกล่าวได้ว่ารับไม้ต่อสืบสานปณิธาน “ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์” วางแนวทางไว้ จนมีความผูกพันกับราษฎรอย่างล้ำลึก และนับว่าครองใจชาวพิษณุโลกมาอย่างยาวนาน

การส่งเสริมกลุ่มอาชีพสตรี กลุ่มแม่บ้านจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอนครไทย เป็นอำเภอแรก พร้อมแจกเครื่องครัวทุกหมู่บ้าน หม้อ ถ้วย จาน เตา ต่อมาเป็นต้นแบบพัฒนาชุมชนจังหวัด ได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาสตรีจนครบทุกอำเภอ

ด้านให้โอกาสทางการศึกษาท่านโกศล ได้จัดตั้ง “กองทุนโกศล ไกรฤกษ์” เอาดอกผลมอบให้กับโรงพยาบาลพุทธชินราช และเป็นทุนการศึกษาให้เยาวชน ส่วนที่บ้านพักอาศัยเรียนทั้งบ้านพิษณุโลกและกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอชาติตระการ จำนวน 33 คน เรียนจบทางด้านพยาบาลวิชาชีพ เทคนิคการแพทย์ กายภาพ สาธารณสุข บุรุษพยาบาล และด้านกฎหมาย 3 คน ปัจจุบันประกอบอาชีพทนายความ  ส่วนกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าบ้านนาเมือง อำเภอชาติตระการ เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้าสีม่วง “ลายดอกปีบ”เอกลักษณ์ของจังหวัดพิษณุโลก  ท่านโกศลได้มอบเงินกองทุนไว้จัดซื้ออุปกรณ์-วัสดุ สิ่งทอ จนกลุ่มมีความเข้มแข็งมีเงินทุนหมุนเวียนหลายล้านบาท

ส่วน“จุติ ไกรฤกษ์”ส.ส.พิษณุโลก หลายสมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(รมว.พม.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเรียกชื่อย่อว่า “ไอซีที” ( ICT ) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อไปเป็น “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” (DE)

ในช่วง“จุติ ไกรฤกษ์” นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี DE ทำให้ประเทศไทย มีระบบการสื่อสารสามารถมายืนเทียบเคียงระนาบเดียวกันกับอารยะประเทศ นั่นคือ ระบบ 3 G เกิดขึ้นยุครัฐมนตรีชื่อ “จุติ ไกรฤกษ์” เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง นอกเหนือจากการพัฒนาด้านอื่นๆแล้ว และจัดทำแผนบรอดแบนด์แห่งชาติ สำเร็จเป็นรากฐานที่สำคัญรองรับเทคโนโลยีการสื่อสาร 4G 5G ตราบจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นมีการจัดตั้งองค์กรมหาชน 2 แห่ง คือ ระบบ E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Government

สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้แสดงบทบาทการช่วยเหลือประชาชนพัฒนาคุณภาพชีวิต และดูแลตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย บูรณาการกับทุกกระทรวง และภาคเอกชน ทุ่มเทการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ลดช่องว่างของผู้ด้อยโอกาส

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เข้าไปแก้ปัญหาการทุจริตในเคหะแห่งชาติ วงเงินหลายหมื่นล้านบาท แก้ทุจริตการเคหะฯ  ไม่เอื้อประโยชน์นายทุน ต่อต้านระบบผูกขาด นอกจากนี้ เมื่อ 16 ปี ที่ผ่านมา มีการนำเงินภาษีของรัฐ 6,000 ล้านบาท ไปสร้างที่อยู่อาศัยและอ้างว่าการเคหะแห่งชาติไม่สามารถบริหารจัดการได้  จึงให้บริษัทเอกชนเช่าช่วง เช่าเหมา 30,000 ห้อง โดยเช่าในราคา 920 บาทต่อเดือน แล้วนำไปปล่อยให้ประชาชนเช่าต่อในราคาเดือน 2,500 บาทบ้าง 3,400 บาทบ้าง “จุติ”หักดิบนำกลับมาให้คนจนเช่าเดือนเพียงละ 990 บาท

นอกจากนั้น โครงการเคหะสุขประชาของการเคหะแห่งชาติ ได้นำที่ดินที่เคยซื้อไว้ในอดีตเมื่อ 17 ปีที่แล้ว เอามาปรับปรุง ถมดิน เพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยและคนสามารถมีอาชีพได้ โดยจ่ายค่าเช่าที่ถูกกว่าท้องตลาดถึง 40% และกระบวนการทำงานของการเคหะแห่งชาติ จากการทำกำไรในเชิงพาณิชย์ให้คืนกำไรกลับสู่สังคม จากเดิมที่ขายบ้านเพื่อเอากำไร เปลี่ยนเป็นสร้างบ้านให้คนเช่าที่มีราคาเช่าถูกกว่าท้องตลาด และต้องไม่ใช่แค่การสร้างบ้าน แต่เป็นการสร้างบ้านพร้อมส่งเสริมอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่การเคหะแห่งชาติไม่เคยทำมาก่อน

การรับใช้ทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่า ตระกูล “ไกรฤกษ์” มิใช่เพียงเล่นการเมืองและมีบทบาทบนเวทีการเมืองเท่านั้น ทว่าจิตวิญญาณของทายาทการเมืองที่ถูกหล่อหลอมอยู่ในสายเลือดอันเข้มข้นยิ่ง

กร บ้านกร่าง /รายงาน