พิษณุโลก เถ้าแก่ตลาดหนองตม-อ.พรหมพิราม เงินใน บ/ช หายกว่า 50 ลบ.ร้องศูนย์ดำรงธรรม (คลิป)
วันที่ 12 ต.ค. 64 นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 583 หมู่ 1 ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วย นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี บุตรชาย ได้เดินทางร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลกว่า เงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวน 9 บัญชี สูญหายไปจำนวนกว่า 50 ล้านบาท
ซึ่งผู้เสียหายได้ไปขอสเตทเมนท์แบบละเอียด ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2562 จนถึง วันที่ 25 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา จากธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งของ จ.พิษณุโลก กลับถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้สเตทเมนท์ กระทั่งต้องไปร้องเรียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2564 และทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้แจ้งธนาคารสำนักงานใหญ่ที่ฝากเงินบัญชีพิจารณาติดตามและตรวจสอบบัญชีเงินฝากตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าว
จนกระทั่งธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ยอมให้สเตทเมนท์มาเพียง 3 บัญชี เหลืออีก 6 บัญชี ที่ยังไม่ได้ให้มา เบื้องต้นตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีถูกอดีตผู้จัดการธนาคาร ซึ่งเป็นลูกเขยของนายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา ถอนโดยการโอนแบบไม่มีสมุดบัญชีไปหลายครั้ง รวมแล้วกว่า 50 ล้านบาท ที่ผ่านมาได้ติดตามสอบถามเรื่องสเตทเมนท์ของบัญชีทั้งหมดกลับถูกธนาคารบ่ายเบี่ยง หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลกในวันนี้
หลังจากนี้จะได้เดินทางไปแจ้งความที่ ตำรวจกองปราบปราม ที่ กทม.เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย
นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา กล่าวว่า ชีวิตตน มาจากเสื่อผืนหมอนใบจากเงินไม่กี่บาทปี 2511 ทำธุรกิจหลายอย่าง อาทิ ค้าขายข้าวเปลือกอยู่ในตลาดหนองตม และปล่อยเงินกู้ รับฝากจำนองโฉนดที่ดินจนมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และได้แต่งงานกับภรรยา คือ นางกิมเต็ง บุญนวล อายุ 74 ปี แต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 ปี และมีลูกแท้ๆ ด้วยกัน 2 คน เป็นบุตรชายทั้งคู่ ส่วนภรรยามีลูกติดมาด้วยจำนวน 3 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เกษียณอายุไปแล้วประมาณ 2 ปี กระทั่งภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 จึงตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเมื่อปี พ.ศ. 2560 จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ลูกแท้ๆ 2 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน รวมตนเองอีก 1 คน รวมทั้งหมด 5 คน แบ่งเงินในบัญชีคนละประมาณ 20 ล้านบาท ยังไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ กระทั่งต่อมาลูกชาย(แท้ๆ) คนโต คือ นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง จึงมาบอกกับตนให้ตรวจสอบเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารที่มีอยู่ ปรากฏว่าเงินบัญชีธนาคารกลับถูกถอนโดยไม่มีสมุดบัญชีและมีการทำตั๋วแลกเงินไม่สั่งจ่ายเป็นเช็คหลายครั้ง รวมยอดเงินทั้งหมดกว่า 50 ล้านบาท จึงรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและพยายามหาหลักฐานสำคัญต่างๆ เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ บุตรชาย กล่าวว่า พ่อตน(นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี) จะอยู่ในความดูแลของลูกเลี้ยงทั้ง 3 คน เพราะเขากีดกัน ไม่ให้ตนเข้าไปยุ่ง ตนก็จึงทำธุรกิจร้านแอร์อยู่ในตัวเมืองพิษณุโลก นานๆ ครั้งจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ตลาดหนองตม อ.พรหมพิราม กระทั่งแม่เสียชีวิตจึงมีการแบ่งมรดกทรัพย์สินต่างๆ ให้เท่าๆ กัน พอแบ่งมรดกเสร็จเรียบร้อยแล้วลูกเลี้ยงกลับไม่เอาใจใส่ดูแลพ่อเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายมารู้เรื่องว่าเงินในบัญชีของพ่อถูกถอนไปอย่างน่าสงสัยมากกว่า 50 ล้านบาท แต่ตนหาหลักฐานสเตทเมนท์มาได้เพียง 3 บัญชีเท่านั้น อีก 6 บัญชี ธนาคารกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ ตนจึงได้ทำเรื่องร้องไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุดมีหนังสือตอบกลับมาเรียบร้อยแล้ว วันนี้ตนจึงต้องการกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกลับคืนมาเพราะที่ผ่านมาพ่อทำมาหากินเลี้ยงดูทุกคนมาเป็นอย่างดี กลับมาทำผู้มีพระคุณเช่นนี้
ต่อมา นายอธิปไตย ไกรราช ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ได้รับหนังสือร้องเรียนพร้อมจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย