พิษณุโลก อดีตนายก อบจ.เจอพิษไข้หวัดนก ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดไต่สวน ยกโขยง

วันที่ 24 กรกฏาคม 2562 เวลา 09.30 น.ที่บัลลังก์ 2 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 พิษณุโลก ศาลฯนัดไต่สวนจำเลยในคดีดำ เลขที่ อท.42/2562 คือ นายสุรินทร์ ฐิติปุญญา อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)พิษณุโลก และมีผู้กระทำความผิด รวมทั้งผู้สนับสนุนกระทำความผิดรวม 10 คน

 

ซึ่งทั้งหมดเป็นข้าราชการระดับสูงในสังกัด อบจ. พิษณุโลก คือ ปลัดฯ รองปลัด และ ผู้อำนวยการกอง จำนวน 3 คน ตลอดจนคณะกรรมการตรวจรับ ในกรณีโครงการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หรือไข้หวัดนก

โดยโครงการนี้ใช้วิธีพิเศษจัดซื้อจัดจ้าง 5 สัญญา ด้วยเหตุผลความเร่งด่วน วงเงินรวมกว่า 20,300,000 บาท แยกเป็นจัดทำหนังสือเผยแพร่รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 3,000,000 บาท

จัดซื้อหน้ากากอนามัยชนิดกรองเชื้อโรคได้ 2 ชั้นป้องกันการติดเชื้อทางระบบหายใจ รวม 4,000,000 บาท จัดซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อและกำจัดกลิ่นชนิดสเปรย์ รวม 4,992,000 บาท จัดซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อและกำจัดกลิ่นชนิดแกลลอน รวม 5,000,000 บาท และจัดซื้อเครื่องพ่นน้ำยาชนิดฝอยละอองแบบติดตั้งในรถยนต์ รวม 3,400,000 บาท

 

สืบเนื่องภายหลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และส่งผลคดีไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปราบทุจริตที่ 1 ภาค 6 ยื่นฟ้องเอาผิดต่อจำเลยที่ 1 คือ นายสุรินทร์ ฐิติปุญญา อดีตนายกอบจ.พิษณุโลก เป็นเจ้าพนักงานมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปราบทุจริตที่ 1 ภาค 6 ได้ยื่นฟ้องจำเลยอีก 9 คน ซึ่งเป็น เจ้าพนักงาน อบจ.พิษณุโลกและเป็นชาวบ้าน 1 ราย รวม 9 คนตามข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นและสนับสนุนผู้กระทำความผิด

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้เกิดขึ้น เมื่อปี 2552 ช่วงไข้หวัด 2009 ระบาด โดยเป็นความร่วมมือของ อบจ.พิษณุโลกเข้าไปร่วมดำเนินการ พร้อมจัดงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างเครื่องพ่นยา ไข้หวัดนก จำนวน 4 เครื่อง ลักษณะตั้งอยู่ท้ายรถกระบะ พร้อมอุปกรณ์สารเคมีพ่น ผ้าแมส และเอกสารเผยแพร่เรื่องไข้หวัดนกฯลฯ มูลค่า 20,300,000 บาท มีจำเลยและผู้สนับสนุนรวม 12 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน

โดยแต่งตั้งคณะกรรมตรวจรับที่มาจากประชาชนจำนวน 2 คน ซึ่งกลายเป็นชาวบ้านรอบๆ อบจ.พิษณุโลก เนื่องจากได้เซ็นต์รับหรือสนุบสนุนผู้ร่วมกระทำความผิด

ข้าราชการคนหนึ่งตกเป็นจำเลยในคดี กล่าวว่า ชีวิตคนรับราชการ รัดทดและเครียดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากทราบว่ามีชื่อถูกร้องเรียนร่วมคดีทุจริต เพิ่งจะหายเครียด ศาลฯเริ่มไต่สวนและเชื่อว่าอีกไม่ช้าก็จะตัดสินเร็วๆนี้ ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เครียดหนัก เพราะต้องนำเงินหรือลักทรัพย์มาวางคดี จำนวน 400,000 บาท ทุกคน
พอกันทีกับชีวิตรับราชการที่ต้องมารับใช้นักการเมือง รู้ทั้งรู้ว่า ใครเป็นต้นเหตุ แม้เพียงแค่ ไปขอยืมเงินมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 400,000 บาท เขายังไม่ช่วยเลย

“ฉะนั้นขอฝากเตือนพวกพนักงานราชการไม่ว่าหน่วยใด เมื่อเป็นทาสรับใช้นักการเมืองก็จะเจอชะตากรรมเช่นนี้ แต่คนที่ได้เงินเป็นล้านๆเขา ไม่เคยเหลียวแลแม้แต่น้อย ยิ่งใกล้วันตัดสิน คิดว่าน่าจะพ้นทุกข์เศร้าโศกเสียที เพราะโทษคดีนี้แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้กระทำความผิดหรือผู้ทุจริต กับ กลุ่มผู้เกี่ยวข้องหรือผู้สนับสนุน ซึ่งผู้สนับสนุน อาจถูกพิพากษาคดี 157 ข้อหาละเว้น และ มาตรา 151 ซึ่งเป็นข้อละเว้นเหมือนกัน แต่ 151 จะมีโทษจำมีโทษสูงสุดเป็น 2 เท่าของมาตรา 157 ณ.วันนี้ ยังไม่รู้ชะตากรรมของชีวิต ถ้าหลุดคดี ก็คือ พ้นหมดเลย แต่ถ้าหากตัดสินมีความผิดก็โดนหมดเลย”ข้าราชการคนเดิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นเพียงการนัดไต่สวนคำให้การจำเลยส่วน นัดฟังคำพิพากษาศาลนั้นยังไม่ทราบ จะต้องรอผลการพิจารณาของศาลอีกครั้ง