แม่น้ำน่านสิ้นเสน่ห์
มนต์ขลังเมืองสองแคว
“คำขวัญ” ที่ไร้เรือนแพ
…เรือนแพสุขจริงอิงกระแสธารา
หริ่งระงมลมพริ้วมา
กล่อมพฤกษาดังว่าดนตรี
หลับอยู่ในความรัก
และความชื่นชั่ววันและคืนเช่นนี้
กลิ่นดอกไม้รัญจวนยังอบอวลยวนยี
สุดที่จะพรรณนา
…เรือนแพล่องลอยคอยความรักนานมา
คอยน้ำค้างกรุณาหยาดมาจากดาราแหล่งสวรรค์
…วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง
ถึงอ้างว้างเหลือใจรำพัน หิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกัน
ชีวิตกลางน้ำสุขสันต์ โอ้สวรรค์ในเรือนแพ….
“เรือนแพ” ขับร้องโดย“ชรินทร์ นันทนาคร” บทเพลงที่มีความไพเราะเป็นอมตะนิรันดร์กาล บ่งบอกเล่าขานชีวิตความเป็นอยู่ของ“วิมานลอยน้ำ”เย็นยะเยือกยิ่ง ซึ่งเป็นผลงานจินตนาการอันล้ำลึกของครูเพลง“ชาลี อินทรวิจิตร”รจนาไว้ได้อย่างสะเทือนอารมณ์ และต่อมาบุคคลทั้งสองได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ
คำขวัญจังหวัดพิษณุโลก“พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา” ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรีย์ ไวยกุฬาอดีตอาจารย์ภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงครามพิษณุโลก ที่บรรจงแต่งไว้อย่างละเมียดสะท้อนเรื่องราวที่ทรงคุณค่าทางใจจิตและอัตลักษณ์เมืองสองแคว ภาษาสละสลวย งดงามยิ่ง จึงชนะเลิศการประกวดคำขวัญในปี 2530
แม้ว่าเรือนแพจะถูกทางราชการโยกย้ายไปจากสถานที่เดิม และขึ้นฝั่งไปอย่างกระเซอะกระเซิงยังบ้านโคกช้าง ตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ส่วนที่เหลือไม่กี่หลังคาเรือนถูกลำเลียงไปซุกซ่อนหลบไว้ในหลืบลิบลับ และมีแพอื่นๆขึ้นมาทดแทนที่อาจจะสวมบ้านเลขที่ ซึ่งทางเทศบาลเมืองเคยออกไว้ให้กับชุมชนชาวแพ ก่อนหน้าที่จะมาเป็นเทศบาลนครในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กระแสสังคมหลายระดับออกมาวิพากษ์และแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง วิถีชีวิตชาวเรือนแพ“ชุมชนโบราณลอยน้ำ” ซึ่งคณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงครามศึกษาวิจัย พบว่ามีอายุยืนยาวมากว่า 160 ปี มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวในอดีตนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้ความชื่นชอบวิถีชีวิตและทัศนียภาพภายในลำน้ำน่านเป็นอย่างมาก
จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณเขตต์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน“จ่าทวี“อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก บุคคลดีเด่นของชาติ พ.ศ.2533 จากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ กล่าวว่า“ตนเห็นเรือนแพมาตั้งแต่เป็นเด็กมองดูน่าประทับใจแต่ถูกโยกย้ายไม่ให้มีเรือนแพอยู่ในแม่น้ำน่านไม่มีที่ไหนเขามีกันเหลืออยู่ส่วนหนึ่งของเราเคยมียาวเหยียดตั้งแต่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนถึงวัดท่ามะปราง และเกือบถึงวัดจันทร์หาดูที่ไหนไม่มีอีกแล้ว ภาพติดตาประทับใจจนถึงทุกวันนี้ มีอายุ 87 ปี เสียดายมากเป็นสิ่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลกที่ขาดหายไป“
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรีย์ ไวยกุฬา อดีตอาจารย์ภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม พิษณุโลกเจ้าของคำขวัญจังหวัดพิษณุโลก ชนะเลิศการประกวดในปี 2530 กล่าวว่า“จังหวัดพิษณุโลก นอกเหนือจากหลวงพ่อพระพุทธชินราช และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือ แม่น้ำน่านที่เป็นจุดเด่นที่สุดมีภาพวิถีชีวิตชาวเรือนแพ อีกทั้งตลิ่งทั้งสองฝั่งปลูกผักสวนครัวไม้ประดับซึ่งมีทัศนียภาพที่สวยงาม”
“แต่พอจังหวัดพิษณุโลกมีแนวคิดที่จะย้ายออกไปจบเลย วิถีชีวิตชาวเรือนแพเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งคนในจังหวัดพิษณุโลก ชอบมายืนบนสะพานนเรศวรแล้วทอดสายตา มองเด็กเรือนแพกระโดดน้ำคนในเรือนแพ นั่งตกปลา หรือพายเรือข้ามฝั่งยามเย็นเป็นภาพที่งดงามมาก”ผศ.สุรีย์กล่าว
ผศ.สุรีย์ กล่าวด้วยว่า มีความรู้สึกตลอดเวลา และใจหายอยู่ทัศนียภาพที่เคยสวยงามมาก เพราะมีหลายแห่งอยากจะทำให้เหมือนกับจังหวัดพิษณุโลก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แม้กระทั่งเมืองจีนเค้าจ้างให้คนมาอยู่และดูแลอย่างดี แต่ของเรากลับบังคับให้เอาขึ้นไปอยู่บนบก
“ก่อนที่จะย้ายเรือนแพทางจังหวัดพิษณุโลก เคยได้ติดต่อมาให้ปรับปรุงแก้ไขคำขวัญ“สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ” ตอบไปว่าไปเรื่องของคณะกรรมการที่จะพิจารณาดำเนินการ เพราะคำขวัญได้ผ่านความคิดเห็นเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาให้รางวัลเรียบร้อยแล้ว” ผศ.สุรีย์กล่าว
ภายหลังจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราชเสร็จแล้ว จะเดินเลียบตลิ่งหรือเดินขึ้นบนสะพานนเรศวรข้ามแม่น้ำน่าน เพื่อทอดสายตาอย่างน่าอภิรมย์กับสายน้ำน่านที่ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งทั้งสองฝั่งเรียงรายไปด้วยเรือนแพจนสุดสายน้ำ
ภาพแห่งความทรงจำเริ่มลางเลือน“วิมานลอยน้ำ”กำลังไหลเลื่อนลัดเลาะริมตลิ่งไกลออกไป ดูเหมือนว่าทำท่าจะลาลับและเหลือไว้เพียงตำนาน ดุจดั่งสายน้ำน่านที่ไม่มีวันไหลกลับ
กร บ้านกร่าง รายงาน