ตร.พิษณุโลก “เจ๋ง”จับพระคาผ้าเหลือง ตระเวนลักพระพุทธรูป -เครื่องลายครามตามวัด เร่งขยายผลและผู้รับซื้อ

วันที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 10:00 น ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก พลตำรวจตรี นิคม เครือนพรัตน์ ผบก.ภ.จว. พิษณุโลก พันตำรวจเอก ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ รอง ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก พันตำรวจเอกธัชพงศ์ วงศ์พัฒานิวาศ ผกก สภ. เมืองพิษณุโลก พ.ต.ท.วรการ กาศเกษม รอง ผกก.สส.สภ.ทเมืองพิษณุโลก และ พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ สุดหอม สว.สส.สภ.เมืองพิษณุโลก ​พร้อมกำลังสืบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาขโมยพระพุทธรูป และเครื่องลายคราม ตามวัดต่างๆ ในเขตตัวเมืองพิษณุโลก

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 – 31 พ.ค. 67 เวลาประมาณ 22.00 – 01.50 น. นายบุญเชิดฯ ได้ขับขี่รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า สีดำ คันทะเบียน ขข 5973 พิษณุโลก ไปตระเวนก่อเหตุลักพระพุทธรูป ภายในวัดคูหาสวรรค์ ,วัดท่ามะปรางและวัดราชบูรณะ จว.พิษณุโลกกรณีนายบุญเชิด กลิ่นแย้ม อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 161/1 หมู่ 2 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม จว.พิษณุโลก  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 270/2567 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 กระทำความผิดในข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”

พลตำรวจตรี นิคม เครือนพรัตน์ ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก กล่าวว่า เป็นการปฏิบัติตามนโยบายของ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คือ “รุก รบ จบ เร็ว” พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่า ได้มีคนร้ายเข้าไปขโมยพระพุทธรูป ภายใน 1.วัดคูหาสวรรค์ 2.วัดท่ามะปราง 3.วัดราชบูรณะ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก จว.พิษณุโลก เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จึงมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตรวจสอบกล้องวงจรปิด CCTV บริเวณที่เกิดเหตุ และบริเวณโดยรอบ ผลจากการตรวจกล้องวงจรปิด CCTV ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และเส้นทางที่คนร้ายใช้ในการหลบหนีหลังเกิดเหตุ

“พบว่าคนร้ายไม่ทราบชื่อ-สกุล ใช้ยานพาหนะรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ คันทะเบียน ขข 5973 พิษณุโลก ในการเดินทางไปก่อเหตุ และใช้หลบหนี จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนคันดังกล่าว  พบว่าผู้ครอบครองคือ นายบุญเชิด กลิ่นแย้ม อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 161/1 หมู่ 2 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม  จ.พิษณุโลก จึงขอแจ้งให้ประชาชนรับทราบ ดูของกลางที่ สภ.เมืองพิษณุโลก” ผบก.ภ.จว. พิษณุโลก กล่าว

พ.ต.อ. ธัชพงศ์ วงศ์พัฒานิวาศ ผกก สภ. เมืองพิษณุโลก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สภ.เมืองพิษณุโลก ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายบุญเชิดฯ บวชเป็นพระอยู่ที่วัดเกาะไม้แดง หมู่ 6 ต.วังลึก อ.ศรีสำโรง จว.สุโขทัย จึงได้เดินทางไปที่วัดเกาะไม้แดงฯ  เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่ดังกล่าว พบนายบุญเชิดฯ (เป็นพระภิกษุสงฆ์) ยืนอยู่บริเวณภายในวัดเกาะไม้แดงฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดง หมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 269/2567 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 และหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 270/2567 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” โดยให้นายบุญเชิดฯ ดู และอ่านให้ฟัง และให้อ่านเองจนเป็นที่พอใจ และยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับหมายจับฉบับนี้จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ให้ นายบุญเชิดฯ ทำการศึกลาสิกขาบท ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และควบคุมตัวมาทำบันทึกการจับกุม และนำตัวผู้ต้องหา/ผู้ถูกจับ พร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“ซึ่งมีตำหนิรูปพรรณตรงกับคนร้ายที่ไปก่อเหตุที่ภายในวัดราชบูรณะ ,วัดคูหาสวรรค์ และวัดท่ามะปราง อ.เมืองจ.พิษณุโลก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานในคดี เพื่อขอศาลจังหวัดพิษณุโลก อนุมัติหมายจับ นายบุญเชิด ต่อมาศาลจังหวัดพิษณุโลกได้อนุมัติหมายจับที่ 269/2567 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 และหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 270/2567 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น สำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ซึ่งใช้ระยะเวลาการจับกุมเพียง 5 วัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผล รวมทั้งผู้รับซื้ออีกด้วย” พ.ต.อ.ธัชพงศ์ กล่าว

พ.ต.อ.ธัชพงศ์ กล่าวอีกว่า ชอให้ประชาสัมพันธ์ประชาชนทราบ และระวังป้องกันภัยจากการถูกโจรกรรมทรัพย์สินภายในอาคารของหน่วยงาน ชุมชน บ้านเรือนประชาชน และวัดต่างๆ โดยแนะนำให้จัดให้มีบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัย ติดตั้งกล้องวงจรปิด หมั่นตรวจสอบประตู หน้าต่างรวมถึงอุปกรณ์ป้องกันภัยต่างๆ และไม่นำทรัพย์สินมีค่ามาเก็บรักษาไว้ในหน่วยงานหรือที่อยู่อาศัย