พิษณุโลก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด อดีตนายก อบต.คันโช้ง พร้อมพวก 4 ข้อหา

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 15.00 น.ที่โรงแรมเรือนแพ รอยัล ปาร์ค อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายสมยศ กาสี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ประจำจังหวัดพิษณุโลก แถลงข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด

ผู้ถูกกล่าวหา

​๑. นายเอกสิทธิ์ ม. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑

​๒. สิบเอก วิชัย อ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒

​๓. นายทองสุข ป. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองคลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓

​๔. นายวีระวัฒน์ ต. ตำแหน่งหัวหน้าสำนักปลัด องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๔

​๕. นางสาวศุจินันท์ ท. ตำแหน่งบุคลากร องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5๕

​๖. นายเรืองชัย ส. ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ฯ องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๖

​๗. นายสุภโรจน์ ห. ตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๗


ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

​เบิกจ่ายค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กเล็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อันเป็นเท็จ โดยจัดทำฎีกาเบิกเงินฉบับลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ระบุเป็นค่าทำอาหารสำหรับเด็กเล็กของ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ซึ่งไม่มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างจริง และผู้รับจ้างมิได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบสำคัญรับเงิน แต่นายทองสุข ป. ได้ใช้ให้นางสุดาพร ค. นำเช็คเงินสดไปเบิกเงินมาให้ตน แล้วนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการตรวจรับการจ้างจัดทำอาหารกลางวัน ได้ตรวจรับงานจ้างโดยที่ไม่มีการจัดจ้าง ตามฎีกาที่ได้มีการเบิกจ่าย

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๗ มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า

  1. นายเอกสิทธิ์ ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 1๗2) และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92

๑. สิบเอก วิชัย อ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ ๖ วรรคสอง

​๓. นายทองสุข ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 1๗2) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕
ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ ๖ วรรคสอง

​๔. นายวีระวัฒน์ ต. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๔ นางสาวศุจินันท์ ท. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๕ นายเรืองชัย ส. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๖ และนายสุภโรจน์ ห. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๗ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ มาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) และมาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 1๗2) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขใน การสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ ๖ วรรคสอง

​ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายเอกสิทธิ์ ม. สิบเอก วิชัย อ. นายทองสุข ป.นายวีระวัฒน์ ต. นางสาวศุจินันท์ ท. นายเรืองชัย ส. และนายสุภโรจน์ ห. ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๑ (๑) และ (๒) และมาตรา ๙๘ และ มาตรา ๙๘ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๙๘ วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทราบ

​อนึ่ง จากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏข้อเท็จจริงว่า องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง สั่งจ่ายเช็คเลขที่ ๑๔๙๔๑๖๖ ฉบับลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ จ่ายเงินค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กเล็ก ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ประจำเดือน มกราคม – มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐,๕๙๒ บาท โดยต้นขั้วเช็คระบุสั่งจ่าย “นางกัญชร น.” ผู้รับจ้าง แต่หน้าเช็คกลับระบุชื่อ “นางสุดาพร ค.” ซึ่งนางสุดาพร ค. เป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง โดยนางสุดาพร ค. ได้นำเช็คดังกล่าวไปเบิกถอนเงินสด จำนวน ๒๐,๕๙๒ บาท และนำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้กับนายทองสุข ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เป็นการไม่เป็นไปตามระเบียบกฎหมายและวิธีการขั้นตอนของทางราชการ จึงให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจกับ นางสุดาพร ค. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๖๔ ต่อไป

​ทั้งนี้ ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๘๒ วรรคสอง

เรื่องที่ ๒
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายเอกสิทธิ์  ม. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  พร้อมพวก

ผู้ถูกกล่าวหา
  ๑. นายเอกสิทธิ์ ม.เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ 
จังหวัดพิษณุโลก ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ 
๒.นายทองสุข  ป.  ผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒
๓. นายอุทัย  พ.  ผู้อำนวยการกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓

ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา 
เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ นายทองสุข ป. ผู้ถูกล่าวหาที่ ๓  ได้จัดทำฎีกาการเบิกจ่ายเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นเงิน ๗๙,๒๐๐ บาท แต่ไม่มีการจัดซื้อเครื่องถ่ายเอกสารจริง และไม่มีฎีกาให้ตรวจสอบได้ โดยปรากฏลายมือชื่อของนายเอกสิทธิ์ ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายอุทัย พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เป็นผู้ลงนามสั่งจ่ายเช็คระบุชื่อนายทองสุข ป. ผู้ถูกกล่าวที่ ๒ เป็นผู้รับเงิน และนายทองสุข ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ได้เบิกเงินสดมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๗ ได้พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
๑. นายเอกสิทธิ์  ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือ   ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒) และมีมูลความผิดฐานกระทําการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๙๒

๒. นายทองสุข  ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 
พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒)  และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ  มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ ๖ วรรคสอง 

๓.นายอุทัย  พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ที่มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น     เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑   มาตรา ๑๗๑) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวนการลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์                 ประกาศ  ณ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕   ข้อ ๖

เรื่องที่ ๓
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายทองสุข  ป. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง 

ผู้ถูกกล่าวหา
  ๑. นายเอกสิทธิ์  ม. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ 
จังหวัดพิษณุโลก ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑
๒. นายทองสุข  ป. ผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒
๓. นายอุทัย  พ. ผู้อำนวยการกองช่างองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓

ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา 
  กระทำการทุจริตในโครงการจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ โดยเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗  นายทองสุข ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ได้จัดทำฎีกาเบิกจ่ายเงินค่าวัสดุวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ จำนวนเงิน ๙๕,๐๔๐ บาท อันเป็นเท็จ โดยไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างจริง และนายเอกสิทธิ์ ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑  นายอุทัย พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓      ได้ร่วมกันลงนามสั่งจ่ายในเช็คในการจัดซื้อดังกล่าว ซึ่งสั่งจ่ายเพื่อให้เงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ขาย                 (นางสุดาพร  ค.) ต่อมานางสุดาพร ค. ได้นำเช็คไปเบิกเป็นเงินสดมาให้นายทองสุข  ป. นำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๗ ได้พิจารณาแล้ว 
มีมติเป็นเอกฉันท์ ดังนี้
๑. นายทองสุข  ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่น
เอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง
หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒)  และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของ
ทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ ๖ วรรคสอง 

๒. นายเอกสิทธิ์  ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และนายอุทัย  พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหา
ทางอาญาตกไป  

แต่การกระทำของนายเอกสิทธิ์  ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้ลงนามในเช็คเลขที่ ๑๔๙๓๙๕๖ ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ จำนวนเงิน ๙๕,๐๔๐ บาท ตามฎีกาเบิกเงินรายจ่าย เลขที่คลังรับ ๕๘/๒๕๕๘ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าวัสดุวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ ที่ไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างจริง โดยขาดความรอบคอบ หรือโดยมิได้มีการสอบถาม หรือตรวจสอบฎีกาและเอกสารประกอบฎีกาในการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน  มีมูลความผิด ฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๙๒

การกระทำของนายอุทัย  พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๗ ข้อ ๓๗ และคำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ที่ ๓๖๕/๒๕๔๗ เรื่อง แต่งตั้งผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน 
ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๗  มีมูลความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ 
เอาใจใส่ ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ และประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาลโดยไม่ให้เสียหายแก่ราชการ ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๕ วรรคหนึ่ง และข้อ ๖ วรรคสอง

เรื่องที่ ๔
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายเอกสิทธิ์  ม. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง พร้อมพวก 

ผู้ถูกกล่าวหา
1. นายเอกสิทธิ์  ม. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ 
จังหวัดพิษณุโลก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 
2. นายทองสุข  ป.  ผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2
3. นายอุทัย  พ.  ผู้อำนวยการกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3
4. นายปภาเทพ หรือดลธีร์ภมร  ว. นายช่างโยธา องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง  ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๔

ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา 

จัดทำฎีกาเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างถนนลูกรังซ้ำซ้อน โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ นายทองสุข  ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ได้จัดทำฎีกาเบิกเงินค่าก่อสร้างถนนลูกรัง หมู่ที่ ๙ บ้านสามเส้า ตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๓๔๘,๗๑๐.๒๘ บาท ซ้ำซ้อนกัน ๒ ฎีกา ซึ่งปรากฏลายมือชื่อของนายเอกสิทธิ์  ม. 
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายอุทัย  พ. ผู้ถูกล่าวหาที่ 3 เป็นผู้ลงนามสั่งจ่ายเช็คแก่กลุ่มกิจการพาณิชย์ปั้มน้ำมัน   เพื่อเกษตรกรตำบลคันโช้ง และมีการมอบอำนาจให้นางสุดาพร  ค. ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี องค์การบริหารส่วนตำบลคันโช้ง ไปเบิกเงินสดมาให้นายทองสุข ป. แล้วนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๗ ได้พิจารณาแล้ว           
มีมติเป็นเอกฉันท์ ดังนี้
๑. นายเอกสิทธิ์  ม. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒)  และมีมูลเป็นการกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๙๒

๒. นายทองสุข  ป. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็น
เจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ มาตรา ๑๕๑ มาตรา๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าทีหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 

(ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒) และมีมูลความผิด
ทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์
ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม ข้อ ๖ วรรคสอง

๓. นายอุทัย  พ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น 
เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓           (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต   พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๑) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๓ วรรคสาม ข้อ ๖ วรรคสอง

๔. นายปภาเทพ หรือดลธีร์ภมร  ว. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๔ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ (๑) (๔)  และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาล โดยไม่ให้เสียหายแก่ราชการ ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๖ วรรคแรก

การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

error: Content is protected !!